เป้าหมายบนความพอดีเพื่อความสำเร็จที่ยั่งยืน
คนทุกคนล้วนอยากมีอยากได้ ซึ่งผมขอเรียกสิ่งนี้ว่า “ความฝัน” ครับ เมื่อเรามี "ความฝัน"
เราย่อมเกิดแรงฮึดในการทำบางสิ่งบางอย่างให้ความฝันนั้นกลายเป็นความจริง ถึงแม้ความเป็นจริงอาจจะโหดร้ายไปซะหน่อย
แต่หากเรากล้ายอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นได้ ทุกอย่างก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวอีกต่อไป
เพราะเราได้ผ่านจุดที่แย่ในชีวิตไปเรียบร้อยแล้ว ต่อไปหากเจอเรื่องแย่ ๆ อีกก็คงรับได้ เพราะมีภูมิต้านทานความทุกข์
ที่พร้อมเยียวยารักษาด้วยตนเองให้กลับมายืนบนความหวังได้อีกต่อไป ชีวิตคนเราก็เป็นแบบนี้ล่ะครับมีขึ้นมีลง
อย่าไปคาดหวังจนกลายเป็นความกังวล แค่เราอยู่กับปัจจุบันให้ได้ ชีวิตย่อมมีความสุขมากมายครับ
ในบทความนี้ ผมอยากแชร์มุมมองสำหรับทุกคนที่มีคำว่าเป้าหมายในชีวิตและการทำงาน
ซึ่งการมีเป้าหมายเป็นสิ่งที่ดีครับ เพราะการมีเป้าหมายทำให้เราไม่หลงทางในความคิดที่ฟุ้งกระจายตลอดเวลา
ยิ่งทุกวันนี้มีข้อมูลผ่านสายตาเราตลอดเวลาผ่านสังคมออนไลน์ บางคนเห็นเขาทำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีก็เกิดความอยากมีอยากได้
แต่ลืมถามใจตนเองว่าแท้ที่จริงนั้น อาจเป็นเพียงภาพลวงตา เพราะเรามองเพียงผลลัพธ์เท่านั้น
ดังนั้น การมีเป้าหมายที่ดีนั้น ต้องไม่คิดเปรียบเทียบคนอื่น ต้องไม่กดดันตนเองมากจนเกินไป
หาจุดสมดุลให้เจอครับว่า เป้าหมายของเรานั้นเราอยากทำอะไร และควรหาวันนับหนึ่งให้ได้ เพราะก้าวแรกสำคัญมาก ๆ
คนส่วนใหญ่มีแต่เป้าหมาย แต่ขาดการลงมือทำ คือ ไม่กล้านับหนึ่งเสียที ซึ่งการนับหนึ่งยากเสมอครับ แต่หากเราผ่านความยากไปได้
บอกเลยระหว่างทางสนุกแน่นอน เพราะเราจะได้รับประสบการณ์เต็ม ๆ ซึ่งมีทั้งดี ทั้งแย่ปะปนกันไป
และเมื่อเราถึงปลายทางที่ตั้งธงไว้ เราจะภูมิใจเสมอครับ ถึงแม้เป้าหมายของเราอาจไม่ได้ใหญ่เหมือนคนอื่น ๆ
แต่อย่างน้อยเราก็ได้ลงมือทำให้เกิดขึ้นจริง ภูมิใจในตนเองครับ
การตั้งเป้าหมายของเรานั้น สิ่งที่ควรคำนึงมาก ๆ คือ เป้าหมายของเราจะต้องไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน
จากความคิด และการกระทำของเรา เพราะหากเราทำเป้าหมายนั้นสำเร็จแต่กลับสร้างความเดือนร้อนให้กับผู้อื่น
แบบนี้เป้าหมายของเราย่อมไร้ซึ่งคุณค่า มีแต่เสียงสาปแช่งทำให้เราไม่มีความสุข และคนจดจำแต่เรื่องแย่ ๆ
แทนที่จะจดจำในมุมดี ๆ คิดให้ดีครับ เป้าหมายที่ดีต้องไม่ทำให้คนอื่นเดือนร้อน หรือจะดีมาก ๆ หากเป้าหมายของเรา
ได้ช่วยเหลือคนอื่นทำให้คนที่เป็นทุกข์มีแนวทางในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แบบนี้ยิ่งทำยิ่งรวยความสุขครับ
เป้าหมายนั้นแบ่งเป็นสองส่วนหลัก ๆ คือ เป้าหมายการทำงาน และเป้าหมายชีวิต เพราะสองสิ่งนี้ควรต้องเดินไปด้วยกัน
โดยแบ่งเวลาให้เหมาะสม หากเป็นช่วงเวลาในการทำงาน ก็ควรทุ่มเทเวลาในการทำงานนั้น ๆ ให้ดีที่สุดในสิ่งที่รับผิดชอบ
คำนึงถึงความเป็นมืออาชีพในการทำงาน มองการณ์ไกล รู้จักปรับปรุงและพัฒนาตนเองและการทำงานอยู่เสมอ
อย่ารอให้คนอื่นมาบอกเรา แต่เราจงคำนึงว่า เรามาทำงานเพื่อแก้ไขปัญหา ซึ่งหากพบปัญหาควรรีบแก้ไข
อย่าทำเป็นทองไม่รู้ร้อน นิ่งเฉยกับปัญหาที่เจอ แบบนี้ไม่ใช่คนทำงานแบบมืออาชีพครับ
อีกทั้งควรรู้จักสร้างมิตรรอบ ๆ ตัวในการทำงานเข้าไว้ รู้จักให้ก่อนรับ คือ การมีน้ำใจรู้จักช่วยเหลือคนอื่น
ในการทำงานบ้างหากมีเวลาที่เหมาะสม เพราะต้องคำนึงเสมอว่า เราไม่สามารถทำงานตัวคนเดียวให้สำเร็จลุล่วงได้ครับ
เราควรต้องมีเพื่อนร่วมงานที่ดีคอยแนะนำ ช่วยเหลือเพื่อให้งานเดินไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็วและมีคุณภาพครับ
และควรมีความทะเยอทะยาน คือ คิดถึงความก้าวหน้าโดยผ่านการทุ่มเทในการทำงาน
ใช้ผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ มากกว่าใช้คำพูดเพียงอย่างเดียว
เพราะหากเราทำงานได้ดี มีคุณภาพ โอกาสในการเลื่อนตำแหน่งที่สูงขึ้นก็ย่อมเป็นไปได้ และเมื่อตำแหน่งสูงขึ้น
รายรับต่อเดือนก็เพิ่มขึ้น แต่หากเราทุ่มเทสุดความสามารถแล้ว ตำแหน่งก็ยังไม่โต ให้เราลองสำรวจตนเอง
ก่อนโทษคนอื่นนะครับ ว่างานที่เราทำก่อให้เกิดคุณค่าต่อองค์กรหรือไม่ เพราะบางคนอาจขยันก็จริงแต่ทำงานที่ไม่ก่อเกิดคุณค่า
หรือ พัฒนาองค์กรให้เติบโต แบบนี้ก็ยากครับ เพราะยุคปัจจุบัน ใครที่ทำงานให้องค์กรเติบโตย่อมมีโอกาสมากกว่าทำงานเดิม ๆ ไปวัน ๆ
ยกเว้นว่า เราได้ทุ่มเททุกอย่างแล้ว แต่องค์กรกับไม่เห็นคุณค่า แบบนี้เราคงต้องคิดหาทางเลือกอื่น ๆไว้บ้างครับ
อย่าลืมว่าชีวิตเป็นของเรา ไม่ใช่องค์กร เราทำงานให้องค์กร องค์กรก็ตอบแทนเราในรูปแบบเงินเดือน โบนัส
สวัสดิการ ไม่ได้มีบุญคุณต่อกัน ต่างก็มีผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน ยกเว้นว่าเรารักองค์กรนี้มาก ๆ แบบว่าขอถวายหัวทำงานจนวันเกษียณ
เขาไม่ไล่เราก็ไม่ไปไหน 5555 อนาคตไม่แน่นอนหรอกครับ มองที่ปัจจุบันครับ
หากเราทุ่มเททำงาน สิ่งที่เราจะได้ติดตัวในทุก ๆ วัน นั่นคือ ความรู้ ประสบการณ์ มุมมอง
สิ่งเหล่านี้เราสามารถต่อยอดในอนาคตได้อีกมากครับ อย่าไปมองเพียงแค่รายรับในช่วงเริ่มต้น
แต่ให้มองรายรับในอนาคตที่จะเติบโตตามคุณค่าที่เราสะสม
หากเราสะสมมากพอ คุณค่านั้นย่อมมีโอกาสงอกเงยจากที่ ๆ เราอยู่ หรือโอกาสจากภายนอกที่วิ่งมาให้เราเลือกครับ
นั่นคือเป้าหมายของการทำงานที่อยากให้ผู้อ่านคิดให้รอบด้าน กินยาว มากกว่าแค่ระยะสั้นนะครับ
เป้าหมายอีกส่วนที่อยากให้ทำควบคู่กัน นั่นคือ เป้าหมายชีวิต ที่เราต้องกล้าคิด ต้องกล้าฝัน ใส่ความทะเยอทะยานเข้าไปเหมือนเดิม
โดยไม่ทำร้ายคนอื่น เพราะคนที่มีความทะเยอทะยายบนพื้นฐานความพอดี ย่อมเกิดแรงผลักในการกล้าลงมือทำ
เพราะอยากก้าวไปข้างหน้าเหมือนกับการทำงาน ซึ่งเป้าหมายชีวิตสิ่งที่ควรคิดก็คงไม่พ้นเรื่อง การเงิน
เพราะการมีคุณภาพชีวิตที่ดี ย่อมทำให้เรามีโอกาสและทางเลือกมากกว่าคนที่ไม่มีเงิน แต่เงินนั้นต้องได้มาด้วยความสุจริต
เกิดจากความพยายาม อดทน มีความมุ่งมั่น และขยันทำมาหากิน มากกว่าคดโกงและเสี่ยงโชคไปวัน ๆ
ลองคิดถึงเป้าหมายว่าเราอยากมีเงินสักเท่าไหร่ในการใช้ต่อเดือน เขียนให้ชัดเจนและวางแผนในการทำสิ่งที่คิดให้กลายเป็นจริง
หากผิดพลาดระหว่างทาง ลุกขึ้นและหาทางใหม่โอกาสเปิดกว้างสำหรับผู้ชนะเสมอครับ
สุดท้ายนี้อยากฝากแนวคิดที่ผลักดันให้เป้าหมายจากนามธรรมไปสู่รูปธรรมที่จับต้องได้
ควรคำนึงถึง 3 ส่วนในการสร้างเป้าหมาย นั่นคือ
- เป้าหมายต้องชัดเจน มีตัวชี้วัดปลายทางบนพื้นฐานความพอดีไม่ทำร้ายคนอื่น
- เป้าหมายต้องวัดได้ มีจุดเริ่มต้น และสิ้นสุดให้ชัดเจน เพื่อใช้ประเมินในการลงมือทำ
- เป้าหมายต้องท้าทาย คือ ไม่ยากจนกดดันตนเอง และไม่ง่ายจนยึดติดกับสิ่งเดิม ๆ
หากเรามีครบทั้ง 3 ข้อจงอย่ารีรอครับ รีบทำทันที เชื่อผมเถอะ ++
ท่านสามารถติดตาม Dr.fish ได้ทาง Line แล้วตั้งแต่วันนี้ โดยทำตามขั้นตอน คือ
1.ค้นหา ID : Dr.fish กรุณากดลิงก์ด้านล่าง หรือค้นหา ID "@dr.fish" ที่ LINE หรือ LINE@
(กรุณาใส่ "@" ด้วย) แล้วเพิ่มเป็นเพื่อนของคุณ
2. คลิก Link http://line.me/ti/p/%40dr.fish
ประโยชน์ที่จะได้รับในการเป็นเพื่อนกับ dr.fish คือ
1.ได้รับข้อมูลการพัฒนาตนเองที่เป็นประโยชน์ วิธีคิดในเชิงบวก ทุกเช้า 7.30 น.ทุกวัน
2. สามารถปรึกษาการทำงาน วิธีคิดได้ตลอดเวลา ไม่ต้องเกรงใจครับ ยินดีมาก ๆ ครับ
คิดบวก คิดถึง Dr.fish
เขียนโดย อ.มงคล กรัตะนุตถะ
วิทยากร นักคิด นักเขียน