ไม่กล้าก้าวออกจาก Comfort Zone แล้วจะใช้ชีวิตของตนเองได้อย่างไร

หลายคนชอบพื้นที่ที่เราคุ้นเคย และใช้ชีวิตในสิ่งเดิม ๆ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่มีอะไรดีขึ้น แต่ความกลัวทำให้ไม่กล้า
ก้าวออกจากพื้นที่เดิม ๆ ของตนเองสักที พื้นที่เดิม ๆ ฝรั่งเรียกว่า Comfort Zone พื้นที่นี้เราจะรู้สึกปลอดภัย
แต่ยิ่งเราทำแต่สิ่งเดิม ๆ เราก็ย่อมได้ในสิ่งเดิม ๆ เช่นกันครับ ผมเชื่อว่า คนทุกคนมีศักยภาพในการทำในสิ่งใหม่ ๆ
ได้เสมอ ขอเพียงเราอย่าไปกังวล หรือ กลัวมากเกินไปกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง และมุ่งมั่นที่จะก้าวไปข้างหน้า
เพื่อความสำเร็จที่รอเราอยู่ ยกตัวอย่าง ผมเองเนี่ยล่ะครับ หากย้อนกลับไปราว ๆ ปี 2555

ผมเองได้ทำการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต นั่นคือ การลาออกจากงานประจำ เพื่อก้าวเข้าสู่อาชีพอิสระ หลังจากที่ทำงานประจำ
ได้ราว ๆ 5 ปี ซึ่ง ณ ตอนนั้นใจจริงก็ไม่ได้คิดว่าจะลาออกจากงานประจำหรอกครับ เพราะด้วยวัยตอนนั้นราว ๆ
26 ปี ซึ่งก็ถือว่ายังเด็กมาก ๆ กับอาชีพที่กำลังจะไปทำนั่นคือ วิทยากรสอนคน
ที่ส่วนใหญ่อายุมาก ๆ ประสบการณ์เยอะ ๆ แต่เพราะตอนนั้นมีผู้ใหญ่มาชักชวนเข้าวงการ
และความฝันที่ผมคิดไว้ใกล้เป็นจริง ผมเลยตัดสินใจออกจาก Comfort Zone ในพื้นที่ของตนเองออกมา
โดยที่ไม่มีการเตรียมความพร้อมใด ๆ ทั้งสิ้น

ซึ่งผมอยากจะบอกผู้อ่านทุกท่านว่า ทุก ๆ ครั้งในการเปลี่ยนแปลง เป็นสิ่งที่ดีเสมอครับ
ทว่า เราต้องรู้จักวางแผนกับอนาคตด้วย เพราะโลกไม่สวยดั่งที่เราฝันไว้ครับ
ผมเองตอนนั้นโลกสวยมาก ๆ ครับ ไม่มีการเตรียมความพร้อม 
แค่คิดว่านั่นคือ อาชีพในฝัน
และเรากำลังก้าวออกไปทำแล้ว เย้ เย้ โลกสวยมาก ๆ ช่วง 3 เดือนแรกที่ผมก้าวออกมาทุกอย่างดีมาก ๆ ครับ
เพราะนอกจากได้ทำงานวิทยากรบรรยายให้ความรู้ ยังได้ทำงานโครงการที่ปรึกษา

แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตรครับ จากความสว่างกลายเป็นความมืดมน งานที่มีทั้งงานที่ปรึกษาและงานบรรยาย
กลับหายไปในพริบตา อาจเพราะปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ๆ ทว่าคนเราเมื่อล้มแล้ว ต้องรีบลุกครับอย่ามัวแต่เสียใจ
เพราะเสียใจ ก็แก้ไขอดีตไม่ได้ จงเดินหน้าต่อไปครับ ช่วงที่ผมไม่มีงานราว ๆ 1 เดือนผมเองก็มุ่งมั่นกับงานเขียนหนังสือ
จนได้โอกาสจากผู้ใหญ่อีก 1 ท่านในการชักชวนให้ไปทำงานด้านการขาย โอ้ว !! บอกตรง ๆ ว่า

อาชีพการขาย ห่างไกลจากความคิดผมมากมายครับ ผมไม่ชอบมันเลยจริง ๆ แต่คนเราบางครั้งต้องกล้าก้าว
ออกจากความคิดเดิม ๆ ในพื้นที่แห่งความสบาย ผมบอกตัวเองว่า ลองสักตั้ง จนสุดท้ายอาชีพการขายเปลี่ยน
แปลงผมเยอะมาก ๆ ในแง่ของการทำธุรกิจในปัจจุบัน ผมได้เรียนรู้การพูดคุยกับลูกค้า
การทำเอกสารในการเสนองาน และการปิดการขาย
จนสามารถนำความรู้ที่ได้มาประกอบธุรกิจในนาม บริษัท ด็อกเตอร์ฟิช จำกัด ตั้งแต่ปี 
2556-ปัจจุบัน
กว่า 1 ปีที่ผมล้มลุกคลุกฝุ่นก่อนยืนได้อย่างมั่นคงทำให้ผมได้ข้อคิดต่าง ๆ มากมายครับ นั่นคือ

1.การทำงานหรือใช้ชีวิตให้ประสบความสำเร็จเราต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน 

เมื่อความฝันเราชัด จงนำความฝันมาสร้างให้เป็นวิสัยทัศน์ หรือเป้าหมายที่เราอยากเห็นในอนาคต
เพื่อวางแผนแบ่งเป็นแผนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว
เพราะการมีแผนที่ดีถึงแม้จะไม่การันตีความสำเร็จแต่แผนที่ดีสามารถป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

2.ลงมือทำ

ต้องมุ่งมั่น ต้องใส่ใจ ต้องไม่ท้อเวลาเจอปัญหา อาจถอยหลังตั้งหลักได้
แต่ต้องหาทางใหม่ในการก้าวไปสู่เป้าหมายที่ตั้งใจไว้ คนสำเร็จ คือ คนที่กล้าสร้างแนวคิดให้จับต้องได้
ถึงแม้จะผิดพลาดแค่ไหนเขาก็พร้อมที่จะเรียนรู้ความผิดพลาดนั้นเป็นบทเรียนให้เติบโตต่อไป

3.พัฒนาตนเองหาความรู้ตลอดเวลา

เพราะคนสำเร็จคือคนที่ไม่หยุดนิ่งในการหาความรู้ใหม่ ๆ มาพัฒนาความคิดของตนเอง และความรู้อยู่รอบตัว
แค่หมั่นศึกษา ดูวิธีคิดของคนสำเร็จเพื่อมาปรับใช้ให้เหมาะกับตัวเราทุก ๆ วัน
เราจะมีความคิดที่เฉียบขาดมากขึ้นครับ ตอนปี 2556 ผมเขียนหนังสือรวดเดียวกว่า 11 เล่ม
คำถามคือ ความรู้มาจากที่ไหน คำตอบง่ายมาก ๆ ครับ 
ความรู้ที่ผมนำมาเขียนหนังสือนั้นมาจาก
การอ่านหนังสือ การรับฟัง การสังเกต การลงมือทำ ซึ่งการลงมือทำนั้นสำคัญมาก ๆ ครับ
เพราะการลงมือทำย่อมนำมาซึ่งประสบการณ์และใช้ประสบการณ์นำมาบอกเล่าให้คนอื่นได้เห็นมุมมองความคิดของผมครับ ปัจจุบันผมเขียนหนังสือสำเร็จมาแล้วกว่า 14 เล่ม

4.เตรียมเงินสำรองให้พร้อมอย่างน้อย 6 เดือน หรือ 1 ปี

เพราะเงินทุนสำรองเป็นปัจจัยที่ทำให้เราก้าวต่อไปหรือหยุดนิ่ง ยกตัวอย่าง ผมเองตอนลาออกมาทำงานอิสระ
ผมแทบไม่มีเงินเก็บสักบาทครับ และที่เลวร้ายคือ ดันมีหนี้สินติดตัวมากมายที่ต้องหมุนเงินเป็นประจำ
ซึ่งประสบการณ์ที่ผมผ่านมานั้นอยากบอกทุกคนที่อยากทำอาชีพอิสระ หรือ ฟรีแลนซ์ว่า
ควรมีทุนสำรองติดตัวไว้อย่างน้อย ๆ 6 เดือน เพราะช่วงแรก ๆ คุณอาจไม่มีงานเข้ามาเลยครับ
แต่คุณยังต้องกินต้องใช้ ซึ่งหากเรามีเงินไว้ใช้จ่ายในแต่ละเดือนอย่างพอเพียง
สมองเราจะไม่กังวลเพื่อประวิงเวลาในการพัฒนางานให้โดดเด่น และหาลูกค้าคนแรกให้เจอครับ
ซึ่งช่วงเริ่มต้นตอนผมเปิดบริษัท ฯ ผมก็ใช้หลักการ ให้ก่อนรับ
คือ สอนฟรีก่อน เพื่อให้ทุกคนรู้จักเรา และเห็นรูปแบบการสอนของเรา เพราะผมเชื่อว่าหากของเราดีจริง ๆ
โอกาสเกิดไม่ยาก แต่คนจะเห็นคุณค่าเราได้ เราต้องให้คนอื่นก่อนครับ และเงินจะตามมาเอง เรื่องจริงครับ ผมพิสูจน์มาล่ะ

5.เรียนรู้หลักการขายและการตลาด

จริง ๆ ทุก ๆ อาชีพควรศึกษาหาหลักการตลาดไว้บ้าง ยิ่งโลกในยุคปัจจุบันทุกคนมีโอกาสเข้าถึงสื่อดิจิตอลค่อนข้างง่ายกว่าสมัยก่อนเยอะมาก ๆ
หากเรารู้จักใช้สื่อดิจิตอล เช่น Facebook , Line , Website , หรืออื่น ๆ เพื่อสร้างตัวตน
สร้างฐานแฟนคลับให้ติดตามเราโอกาสของเราก็ง่ายขึ้น
เช่น ทุกวันผมจะเขียนบทความแชร์งลงในฐานแฟนคลับที่ติดตามผมผ่าน facebook และ Line เป็นประจำทุก ๆ วัน
ซึ่งคนที่อ่านบทความ ข้อคิด บ่อย ๆ เขาจะเริ่มชอบและศรัทธาจนเกิดเป็นการซื้อบริการในการทำงานของเรา
เพราะทุกวันนี้งานบรรยายผมส่วนใหญ่ก็เกิดจากข้อคิด มุมมอง ทัศนคติผ่านบทความที่ผมแชร์ไว้ในทุก ๆ วัน

หลักการเหมือนข้อที่ 4 ที่ผมบอกไปนั่นคือ ให้ ก่อน รับ จงเป็นผู้ให้ด้วยใจ ด้วยความหวังดี และเราจะได้รับกลับมากอย่างมากมายครับ

6.เรียนรู้เรื่องการลงทุนไว้บ้าง

คำว่า ลงทุน มีหลายแบบ สำหรับมุมมองผมนั้นจงลงทุนกับ ความรู้ และ เรื่องเงิน
ความรู้ จะนำมาซึ่งการทำงาน ซึ่งเราต้องพัฒนาตนเองอยู่เสมอ กล้าที่จะทำงานใหม่ ๆ โปรเจ็คใหม่ ๆ ที่ท้าทาย
เพราะหากเราเก่ง มีความรู้ มีประสบการณ์ จากการทำงานมากขึ้น เงินของเราก็จะมากขึ้น และเมื่อเงินมากขึ้น
จงนำเงินที่ได้ไปต่อยอดให้งอกเงยขึ้น หลักคิดง่ายมาก ๆ ครับ เพราะทุกวันนี้เราทำงาน ใช้แรงผมเรียกว่า Active Income 
ซึ่งหากเราไม่ลงแรงเงินก็ไม่มา ซึ่งการลงแรงหากเราแข็งแรงดี ก็คงไม่เป็นอะไร 
แต่หากเราเจ็บไข้ได้ป่วยมีโรคประจำตัวทำให้เราทำงานไม่เต็มที่ รายได้ที่ควรได้รับก็อาจลดน้อยลงไป 
ทว่า เรารู้จักเรียนรู้การลงทุนใช้เงินที่มีต่อยอดซึ่งผมเรียกว่า Passive Income 
ซึ่งเกิดจากเราศึกษาเครื่องมือในการลงทุนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น หุ้น , กองทุนรวม , อสังหาริมทรัพย์ หรืออื่น ๆ 
ที่ใช้หลักคิดให้เงินทำงานแทนเรา จากการสะสมเม็ดเงินลงไปในสิ่งที่เรารู้ว่าจะได้ผลตอบแทนอย่างไร 
ปัจจัยที่ทำให้เราขาดทุนมีอะไรบ้าง และเงินที่เราลงไปเราต้องการอะไร 
เพราะการลงทุนไม่ใช่การเสี่ยงโชค เราลงทุนเพื่อสะสมสร้างสินทรัพย์ให้เลี้ยงเราในบั้นปลายของชีวิต 
ผมเองเสียดายเวลามาก ๆ เพราะถ้าผมรู้เร็วอย่างน้อยสัก 10 ปีที่แล้วและสะสมเงินมากกว่าสร้างหนี้สิน 
ป่านนี้คงรวยไปแล้ว 5555 แต่ไม่มีคำว่าสายครับ เมื่อรู้แล้วจงลงมือทำสะสมเงินผ่านกองทุนรวม ทุก ๆ เดือน 
เดือนล่ะเท่า ๆ กัน และปล่อยให้เงินทำงานแทนเราไป ซึ่งมนุษย์เงินเดือนควรศึกษาเรื่องการลงทุนไว้บ้างนะครับ 
อย่ามัวแต่สร้างหนี้ แต่ให้ลงทุนเพื่อบั้นปลายชีวิตจะได้ไม่ลำบาก

7.ฟังเสียงของคนอื่นได้ แต่ต้องตัดสินใจด้วยเสียงของเราเอง

ตอนผมลาออกจากงานประจำในช่วงแรก ต้องบอกก่อนว่า ผมโชคที่ดีมีแฟนที่เข้าใจ และไม่คัดค้านการตัดสินใจของผมเลย
เจ้านายผมก็ไม่คัดค้านวันที่ผมยื่นใบลาออกจากงาน และอวยพรผมให้ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ทำ
คุณพ่อ และคุณแม่ ก็ไม่ได้ว่าอะไร สำหรับคนที่อาจเจอเสียงคัดค้านจากคนรอบข้างนั้น
ผมมองว่าเขาคงเป็นห่วงเราครับ ซึ่งเรารับความปรารถนาดีจากเขาได้
แต่สุดท้ายแล้ว เราต้องเป็นผู้ตัดสินใจในสิ่งที่เรากำลังทำ เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าเรากำลังจะทำอะไร
แต่อยากให้คิดให้ถี่ถ้วนนะครับ อย่าก้าวออกมาเพราะมีแต่ความอยาก
แต่ขาดการศึกษาข้อมูลรอบด้าน เพราะการทำงานของตนเองถึงแม้จะมีความสุข แต่การแข่งขันค่อนข้างสูง
เราต้องมีวินัยในตนเองให้มากพอ เพราะรายได้จะเกิดจากการลงมือทำเท่านั้น

ข้อคิดสำหรับมุมมองผม คือ หากไม่อยากเสี่ยงลองเริ่มต้นทำสิ่งเล็ก ๆ ก่อนระหว่างที่ทำงานประจำและใช้เวลาหลังเลิกงาน
วันหยุด วันลาพักร้อน ในการก้าวไปสู่ความฝันที่เราตั้งใจไว้ และดูทิศทางว่ามีโอกาสมากน้อยแค่ไหน

หากดูแล้วมีอนาคต ก็ค่อย ๆ ก้าวออกจากพื้นที่เดิม สู่พื้นที่ใหม่ที่ใจรักมากขึ้นครับ

8.ฝึกสร้างทัศนคติเชิงบวกในการแก้ไขปัญหา

ข้อนี้เราต้องรู้จักฝึกเอาไว้มาก ๆ นะครับ เพราะไม่ว่าเราจะทำงานประจำ งานอิสระ หรือเจ้าของธุรกิจ ทุก ๆ คน
ย่อมต้องเจอปัญหาเข้ามาไม่เว้นแต่ละวัน ปัญหาจะมาก หรือ น้อยลง อยู่ที่เราสร้างมันขึ้นมา จำกฎข้อที่ 1 ได้ไหมครับ

การวางแผนที่ดีไม่สามารถการันตีความสำเร็จได้ก็จริง แต่การวางแผนอย่างน้อยช่วยทำให้เราฉุกคิด
และรู้จักมองอย่างรอบด้านก่อนการลงมือทำ เพื่อความเป็นระบบระเบียบเรียบร้อยในการลงมือทำ
ทว่า อย่าวางแผนกับตนเองมากเกินความจำเป็น เพราะบางคนวางแผนจนไม่กว่ายืดหยุ่น ไม่กล้าปรับเปลี่ยนแผนตามสถานการณ์

การฝึกคิดเชิงบวกไว้ ในเวลาที่เราเจอปัญหาอย่างน้อยช่วยทำให้เราไม่ย่ำอยู่กับที่ ไม่ท้อจนไม่เป็นอันทำงาน
การคิดเชิงบวกจะทำให้เราเห็นมุมมองว่า ทุก ๆ ชีวิตย่อมต้องเจออุปสรรคก่อนประสบความสำเร็จ
และทำให้เราหันมาย้อนดูความคิดว่า เรานั้นพลาดในจุดไหน เพื่อการระมัดระวังในภายภาคหน้า
ซึ่งเมื่อเราเข้าใจปัญหาที่เจอ เราจะผ่านพ้นปัญหาได้แบบไม่ยาก และไม่กลัวต่อปัญหาที่อาจเข้ามาในอนาคต

ผมโชคดีมาก ๆ ที่ได้ฝึกการคิดเชิงบวกจนสามารถมาทำงานในอาชีพวิทยากร
และสามารถผ่านทุก ๆ ปัญหาที่เข้ามาได้ไม่ว่าปัญหานั้นจะเล็ก หรือ ใหญ่
ซึ่งหากเราแก้ไขปัญหาในปัจจัยที่เราควบคุมได้ นั่นคือ ตัวเรา ความคิด ความรู้สึก และการกระทำของเรา
ถึงแม้อาจต้องใช้เวลาในการแก้ไขปัญหา แต่อย่างน้อยถ้าเราไม่ลดละความพยายามซะอย่างย่อมต้องเจอทางออก
มากกว่าไปเสียเวลาแก้ไขปัญหาในปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้ นั่นคือ ปัจจัยจากภายนอกที่ยากเกินการควบคุม

หวังว่าแนวคิดทั้ง 8 ข้อนี้จะทำให้เรากล้าที่จะก้าวออกจากสิ่งเดิม ๆ ที่ไร้ซึ่งอนาคตและย่ำอยู่กับที่จนติด Comfort Zone
แต่การก้าวออกมาหาความท้าทายใหม่ ๆ อย่าลืมวางแผนให้รอบด้านนะครับ
ถึงแม้แผนจะไม่การันตีความสำเร็จแต่การวางแผนย่อมทำให้เราเดินหน้าด้วยความมั่นคง ปลอดภัยครับ เชื่อผมเถอะ ++

 คิดบวก คิดถึง ด็อกเตอร์ฟิช

มงคล กรัตะนุตถะ

แบบฟอร์มติดต่อกลับ

Visitors: 713,466