อ่านใจคนออกงานย่อมสำเร็จ (ฉบับหัวหน้างาน)

เพราะการทำงานในบทบาทของ หัวหน้างาน หรือ ผู้นำ นับเป็นงานที่สำคัญมาก ๆ

ในการผลักดันงานให้ไปสู่เป้าหมายตามที่องค์กรต้องการ

เพราะวัตถุประสงค์ของทุกองค์กร คงอยากเห็นการเติบโตมากกว่าถอยหลัง

และบทบาทของหัวหน้างาน ในการผลักดันงาน นั่นคือ

การเข้าใจผู้ใต้บังคับบัญชา และ เข้าใจผู้บังคับบัญชา ในการทำงานร่วมกัน

ซึ่ง คนที่เป็นระดับหัวหน้างาน คงไม่ต่างอะไรกับแซนวิช ที่ถูกประกบจากการมอบหมายนโยบายของผู้บังคับบัญชาระดับสูง

เพื่อนำนโยบายมาแปลงสู่การปฏิบัติต่อผู้ใต้บังคับบัญชาให้งานเดินไปข้างหน้า

และการจูงใจผู้ใต้บังคับบัญชาให้ปฏิบัติงานได้นั้น นับเป็นงานที่ท้าทายของคนเป็นหัวหน้างานมาก ๆ ครับ

เพราะต่อให้หัวหน้างานจะเก่งงานแค่ไหน แต่หากบริหารผู้ใต้บังคับบัญชาไม่อยู่แล้ว คงย่อมเจอปัญหาในการบริหารคนเป็นแน่

บทความวันนี้ผมขอนำเสนอหลักคิดที่ผมมักนำไปใช้ในการบริหารคนและนำไปบรรยายบ่อย ๆ

นั่นคือ หลักการเข้าใจคน ซึ่งนับเป็นทักษะที่คนเป็นหัวหน้างานจะมองข้ามไปไม่ได้เลย

เพราะเนื่องจาก แนวคิดของคน ย่อมมีความแตกต่างกัน สิ่งสำคัญ คือ จะทำอย่างไรให้ได้ใจของผู้ใต้บังคับบัญชา

เพื่อให้การทำงานเดินหน้าอย่างราบรื่น ดังนั้น คนที่เป็นหัวหน้างานจำเป็นต้องเข้าใจการบริหารคน และรู้จักเลือกใช้คนให้

ถูกกับงาน (Put the right man on the right job)

โดยผมขอใช้หลักคิดของ DISC เป็นตัวกำหนดทิศทางดังต่อไปนี้

 

1.ลูกน้องประเภท D = Dominance

ลักษณะพฤติกรรม

ทำงานเร็ว ท้าทาย ตื่นตัว ว่องไวชอบอิสระ กล้าคิด กล้าตัดสินใจชอบทำงานตัวคนเดียว

การมอบหมายงานที่จูงใจคนประเภทนี้ นั่นคือ

การให้อิสระในความคิดของลูกน้อง ไม่จู้จี้จุกจิกกับงานมากเกินไป ไม่บีบบังคับด้วยกฎระเบียบ และมอบหมายงานที่มี

ระดับความยาก ความท้าทาย งานโปรเจ็คระยะยาว มากกว่างานซ้ำ ๆ เดิม ๆ เพราะคนกลุ่มนี้มีความเก่งและกล้าตัดสินใจ

ซึ่งคนที่เป็นหัวหน้างานจำเป็นต้องเข้าใจ และคอยดูห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ ครับ

 

2.ลูกน้องประเภท  I = Influence

ลักษณะพฤติกรรม

ตื่นตัว ว่องไว ชอบพูดชอบเจรจามีมนุษย์สัมพันธ์ดี ชอบทำงานเป็นทีม

การมอบหมายงานที่จูงใจคนประเภทนี้ นั่นคือ

งานที่ต้องให้พบเจอผู้คน มากกว่านั่งตบยุงอยู่ที่โต๊ะ เพราะลูกน้องประเภทนี้ชอบการประสานงาน เนื่องจากมีวาทศิลป์ใน

การพูดคุย รู้จักเจรจาต่อรอง หรืองานที่เป็นโปรเจ็คที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ เนื่องจากคนกลุ่มนี้มีหัวคิดมีไอเดียที่ดี

หากหัวหน้างานเปิดใจพร้อมรับฟัง ไม่ใช้อารมณ์เหนือเหตุผล ลูกน้องประเภทนี้ย่อมทำงานถวายหัว และหากงานสำเร็จ

หัวหน้าที่ดีต้องหมั่นชมเชย เพราะนั่นคือ กำลังใจชั้นดีของลูกน้องประเภทนี้ นะครับ

 

3.ลูกน้องประเภท S = S = Steadiness

ลักษณะพฤติกรรม

คิดช้า  นิ่ง ๆ ชอบฟัง มากกว่าพูดมีมนุษย์สัมพันธ์ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น คิดถึง เห็นใจผู้อื่นไม่ชอบการขัดแย้งส่วนบุคคล

การมอบหมายงานที่จูงใจคนประเภทนี้ นั่นคือ

เนื่องจากลูกน้องประเภทนี้ จะมีความแตกต่างจากประเภท D และ I เพราะ D และ I เป็นกลุ่มทำงานเชิงรุกที่ตื่นตัว รวดเร็ว

แต่ลูกน้องประเภทนี้เป็นกลุ่มเชิงรับ คือ ทำงานช้า ต้องให้เวลาคิด เวลาตัดสินใจมากกว่าการเร่งเอางานที่ทำให้ขาดการคิด

ขาดการวางแผน ดังนั้น การมอบหมายงานต้องมีกรอบระยะเวลา และไม่เปลี่ยนแผนบ่อยจนเกินไป อีกทั้งคนที่เป็นหัวหน้า

ควรเปิดใจให้ลูกน้องประเภทนี้ฝึกพูด ฝึกนำเสนอ โดยที่หัวหน้าพร้อมเปิดใจรับฟัง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการทำงานของ

ลูกน้อง เนื่องจากลูกน้องประเภทนี้ ไม่อยากเห็นความขัดแย้ง จึงเป็นคนนิ่ง ๆ ไม่พูด แต่ที่จริงแล้วมีไอเดียที่ดี

พร้อมแชร์ไอเดียหากหัวหน้าพร้อมเปิดใจรับฟัง งานย่อมมีโอกาสเดินหน้าได้อย่างรวดเร็ว และงานที่เหมาะสมกับคน

ประเภทนี้ เช่น งานพี่เลี้ยงที่ต้องช่วยเหลือพนักงานใหม่ ๆ งานที่เกี่ยวกับการช่วยเหลือผู้อื่นให้ได้รับความสะดวกสบาย

มาถึงลูกน้องประเภทสุดท้าย

 

4.ลูกน้องประเภท C = Compliance

ลักษณะพฤติกรรม

คิดช้า นิ่ง ๆ ชอบคิดบนหลักการมีกรอบความคิด ชอบความชัดเจน และมีแบบแผนทำงานเป็นขั้นตอน

การมอบหมายงานที่จูงใจคนประเภทนี้ นั่นคือ

ลูกน้องประเภทนี้ จะมีความคล้ายกับกลุ่ม S ที่เป็นคนทำงานช้า คิดช้า เพราะกลัวความผิดพลาดในสิ่งที่กระทำ เป็นคนที่

ชอบความสมบูรณ์แบบ อยากเห็นงานดีมีคุณภาพ จนทำให้งานบางครั้งออกมาค่อนข้างช้า ซึ่งคนเป็นหัวหน้าจำเป็นต้อง

เข้าใจ และใช้ลูกน้องให้เหมาะสมกับงานที่เป็นงานเอกสารที่ต้องใช้ความเป็นระเบียบ งานข้อมูลตัวเลข หรืองานที่เกี่ยวกับ

การวิเคราะห์ข้อมูล ที่ไม่จำเป็นต้องติดต่อประสานงานกับคนมากนัก เพราะลูกน้องประเภทนี้ชอบทำงานเงียบ ๆ คนเดียว

เนื่องจากต้องใช้สมาธิสูงในการทำงาน เพื่อป้องกันความผิดพลาดในงานครับ

 

การบริหารคน นับเป็นเรื่องที่ท้าทายคนที่เป็นผู้นำ เพราะด้วยความคิดที่แตกต่างกัน ย่อมมีโอกาสปะทะอารมณ์กันได้

ถึงแม้เราจะเป็นหัวหน้างาน มีอำนาจในการปกครองผู้ใต้บังคับบัญชา ทว่า หากไม่ได้ใจผู้ตามแล้วไซร้

การทำงานคงยากที่จะราบรื่น และประสบผลสำเร็จ จริงไหมครับ !!

การเข้าใจลูกน้องในความถนัด เข้าใจจุดแข็ง เข้าใจความเหมาะสมในเนื้องาน และมอบหมายงานให้ถูกกับคนทำ

ย่อมมีโอกาสจูงใจลูกน้องและพัฒนาจุดแข็งให้งานออกมาดีที่สุด

จากนั้นค่อย ๆ พัฒนางานด้านอื่น ๆ ให้ลูกน้องฝึกทำ โดยการหมุนเวียนหน้าที่

เพื่อให้ลูกน้องได้มีโอกาสพัฒนาตนเองในการเรียนรู้งานใหม่ ๆ ในอนาคต

เพื่อเตรียมความพร้อมในการเติบโตของสายงานต่อไป

แต่จุดเริ่มต้น ต้องมาจากความชอบก่อน ย่อมทำให้ลูกน้องมีความคุ้นเคยและทำงานได้อย่างมีความสุข

ลูกน้องมีความสุข หัวหน้าได้ผลลัพธ์ของงานที่ดี และเมื่องานได้ตามเป้าหมาย อย่าลืมให้กำลังใจลูกน้องด้วยความชมดี ๆ

เชื่อผมเถอะ !! ลูกน้องรักเราแน่นอนครับ

 

เชื่อผมเถอะ ++

ท่านสามารถติดตาม Dr.fish ได้ทาง Line แล้วตั้งแต่วันนี้ โดยทำตามขั้นตอน คือ

1.ค้นหา ID : Dr.fish กรุณากดลิงก์ด้านล่าง หรือค้นหา ID "@dr.fish" ที่ LINE หรือ LINE@ 

(กรุณาใส่ "@" ด้วย) แล้วเพิ่มเป็นเพื่อนของคุณ

2. คลิก Link http://line.me/ti/p/%40dr.fish

 

ประโยชน์ที่จะได้รับในการเป็นเพื่อนกับ dr.fish คือ

1.ได้รับข้อมูลการพัฒนาตนเองที่เป็นประโยชน์ วิธีคิดในเชิงบวก ทุกเช้า 7.30 น.ทุกวัน

2. สามารถปรึกษาการทำงาน วิธีคิดได้ตลอดเวลา ไม่ต้องเกรงใจครับ ยินดีมาก ๆ ครับ

 

คิดบวก คิดถึง Dr.fish

เขียนโดย อ.มงคล กรัตะนุตถะ

วิทยากร นักคิด นักเขียน

แบบฟอร์มติดต่อกลับ

Visitors: 713,396